ออกกำลังกายอย่างไรให้ปลอดภัย 

สมัยนี้แล้วจะเห็นได้ว่าหันไปทางไหนก็มีแต่ผู้ที่รักสุขภาพด้วยกันทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ชอบออกกำลังกายหรือผู้ที่ทานอาหารที่มีประโยชน์ซึ่งต้องยอมรับนะว่าสมัยนี้หรือยุคนี้เป็นเต็มไปด้วยโรค ต่างๆนานาไม่ว่าจะเป็นฝุ่นหรือเชื้อโรคที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ดังนั้นการรักสุขภาพของคนยุคนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก 

ถ้าหากคุณอยากมีสุขภาพที่แข็งแรงอายุที่ยืนยาวก็จำเป็นที่จะต้องรักษาสุขภาพด้วยเช่นกันไม่ว่าจะเป็นการกินหรือการทานอาหารก็จะต้องเน้นเป็นพิเศษไม่ควรปล่อยปละละเลยไม่งั้นอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายของคุณทำให้มีโรคแทรกซ้อนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น 

การออกกำลังกายถือได้ว่าเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ร่างกายของเรานั้นแข็งแรงและการออกกำลังกายนี่แหละที่ทำให้หลายๆคนนั้นมีหุ่นที่ดีซึ่งสำหรับผู้ที่ริเริ่มในการออกกำลังกายอยากทราบว่าการออกกำลังกายอย่างไรให้ปลอดภัยในวันนี้เราจะมาแนะนำเคล็ดลับดีๆเพื่อที่จะให้ผู้ที่หัดเริ่มรักสุขภาพนั้นหันมาดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธีกัน 

เราควรที่จะออกกำลังกายให้เป็นกิจวัตรประจำวันหรือออกให้บ่อยครั้งจนร่างกายของเรานั้นชิน สำหรับผู้ที่ต้องการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงอันดับแรกควรที่จะออกกำลังกายให้ร่างกายของเราได้ชินเสียก่อนแล้วค่อยเพิ่มจำนวนให้มากขึ้นอย่างที่คุณต้องการแต่ไม่ควรที่จะหักโหมก่อนในช่วงแรกๆเพราะอาจจะทำให้กล้ามเนื้อของเราอักเสบได้

และผู้ที่มีอายุที่ค่อนข้างมากหรือผู้ที่มีโรคประจำตัวยกตัวอย่างเช่นโรคความดันโลหิตโรคไขมันในเลือดหรือโรคหัวใจหรือโรคประเภทต่างๆที่มีผลกับการออกกำลังกายโดยไม่สามารถที่จะออกกำลังกายหนักได้จำเป็นที่จะ ปรึกษาแพทย์ให้กระจ่างเสียก่อนที่จะเริ่มทำการออกกำลังกาย 

เพราะการออกกำลังกายสำหรับผู้ที่มีโรคนั้นค่อนข้างที่จะเป็นอันตรายค่อนข้างมากบางรายอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าคุณจะต้องดูแลตัวเองในด้านนี้ให้ปลอดภัยที่สุด และควรเซฟตัวเองให้มากที่สุดเพื่อที่ร่างกายของคุณจะไม่หักโหมจนทำให้ร่างกายเป็นอะไรมากจนเกินไป 

สำหรับผู้ที่จะออกกำลังกายแบบหนักๆได้นั้นจำเป็นที่จะต้องมีร่างกายที่แข็งแรงนอนหลับที่เพียงพอจริงๆถึงจะสามารถออกกำลังกายแบบหักโหมได้สำหรับผู้ที่นอนน้อยหรือไม่ค่อยได้พักผ่อนหรือทำงานหนักจนเกินไปหรือเกิดอาการเครียดต่างๆไม่ควรที่จะออกกำลังกายแบบหักโหมนะคะเนื่องจากว่าอาจจะส่งผลทำให้ร่างกายของคุณอ่อนแอได้ง่ายยิ่งขึ้น

 

สนับสนุนโดย  แทงหวยออนไลน์

เรื่อง ฝีดาษม้า (Horsepox)

ร่างกายที่ดูเหมือนจะแข็งแรงไม่ได้จำเป็นว่าจะไม่ป่วย เพราะเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บนั้นมันมาโดยที่เราเองก็ยังไม่รู้ตัว เพราะผู้ที่ป่วยเป็นโรคร้ายบางคนก็ดูเหมือนคนปกติทั่วไปไม่ได้มีอาการแสดงว่าตัวเองป่วยหรือเป็นอะไรเลย เรื่องของอาการป่วยนั้นคุณรู้ดีว่าไม่มีใครที่อยากป่วยเป็นนั้นเป็นนี้อย่างงแน่นอน ถ้าเลือกได้ทุกคนก็อยากจะเลือกที่จะมีสุขภาพที่สมบรูณ์แข็งแรงกันทั้งนั้น ตั้งแต่ในอดีตนั้นก็มีโรคร้ายต่างๆ มากมายโดยที่ไม่แพ้ปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย

คุณเชื่อหรือไม่ว่ามีเชื่อไวรัสต่างๆ ที่นักวิทยาศาสตร์นั้นได้สร้างขึ้นมาภายในห้องทดลองโดยที่พวกมันไม่ได้เกิดขึ้นเอง ซึ่งไวรัสหรือแบคทีเรียเหล่านี้ก็ความน่ากลัวอยู่เป็นอย่างมาก หนึ่งในไวรัสที่ได้มีการสร้างขึ้นมาจากห้องปฏิบัติชนิดหนึ่งนั้นมีชื่อว่า ฝีดาษม้า นั้นเอง ในปี 2016 ที่งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย ALBERTA เป็นมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศแคนาดา ได้มีการสังเคราะห์ฝีดาษม้าหรือ(Horsepox) ขึ้น

มา ได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งไวรัสตัวนี้นั้นได้เชื่อกันว่ามีการศูนย์พันธ์ไปแล้วตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนและไวรัสตัวนี้มันก็ยังถือว่าเป็นญาติสนิทของ Smallpox หรือฝีดาษหรืออีกชื่อหนึ่งก็คือไข้ทรพิษนั้นเอง ซึ่งฝีดาษที่ว่านี้เป็นหนึ่งรายร้ายที่ที่ทำให้มนุษย์อย่างเราๆ ต้องจบชีวิตลงเพราะมัน ก่อนที่เรานั้นจะมีวัคซีนที่มีไว้ป้องกัน

ในส่วนของฝีดาษม้าถือได้ว่าเป็นไวรัสที่มีความอันตราที่สามารถทำให้ตายได้ แต่ไวรัสที่ว่านี้มันจะไม่ส่งผลต่อมนุษย์อย่างเราซึ่งชื่อขิงมันก็บอกอยู่แล้วว่าฝีดาษม้า ซึ่งมันจะเป็นอัตราแค่กับม้าเท่านั้น โดยง่ายสังเคราะห์ฝีดาษม้าสิ้นนี้เป็นอะไรที่ยากกว่าที่ผ่านๆ มา เนื่องด้วยขนาดที่ใหญ่โตของจีโนมของไวรัสตัวนี้ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับปอริโอแล้วมันมีขนาดแค่ 7,000 กว่าเบส

ซึ่งฝีดาษม้าจะมีขนาดถึง 200,000 กว่าเบส มีขนาดใหญ่กว่ากันถึง30เท่า โดยทีมที่ทำการวิจัยต้องสั่งซื้อ DNA สังเคราะห์มาเป็นชิ้น ชิ้นละประมาณ 30 กิโลเบส ผ่านใบสั่งทางไปรษณีย์และนำมาทำการจัดเรียงให้กลายเป็นไวรัสขึ้นมา ทีมวิจัยนี้ใช้เวลาสร้างไวรัสอยู่ครึ่งปีซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจากบริษัทแห่งหนึ่ง

และใช้งบประมาณในการสร้างราวๆ 100,000 ดอลล่าสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยก็อยู่ที่ประมาณ 3.1  ล้านบาท ซึ่งเป็นต้นทุนที่ถูกและใช้เวลาเร็วมากการทำการวิจัยที่ชิ้นใหญ่ขนาดนี้ แต่งานชิ้นนี้ก็ถูกปฏิเสธไม่ได้ตีพิมพ์ในวารสารดังๆ เนื่องจากความกังวลด้านความปอดภัยนั้นเอง

 

 

สนับสนุนโดย  แทงหวยออนไลน์

เจ้าแม่ตะเคียนอยากขึ้นจากน้ำ เข้าฝันให้คนพาขึ้น

         เมื่อวันที่ 1 เดือนเมษายน ปีพ.ศ. 2563    ที่หมู่บ้านหนองตะเคียนจังหวัดบุรีรัมย์มีชาวบ้านมารวมกลุ่มกันเพื่อทำการช่วยกันเอาต้นตะเคียนเก่าแก่ที่อยู่ข้างห้วยขึ้นมาเก็บเอาไว้ภายในหมู่บ้านโดยเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมีชาวบ้านจำนวนหลายคนในหมู่บ้านหนองตะเคียนต่างก็พากันฝันเหมือนกันว่ามีหญิงสาวมาบอกกล่าวแก่ชาวบ้านว่าให้ช่วยเหลือนำต้นตะเคียนที่อยู่ใกล้กับน้องน้ำภายในหมู่บ้านให้เอาขึ้นมาเพราะตอนนี้อยากจะขึ้นมาอยู่บนฝั่งแล้ว

เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาชาวบ้านต่างก็มารวมตัวกันและเล่าถึงความฝันที่ตัวเองได้ฝันถึงซึ่งมีหลายคนบอกกล่าวว่าความฝันนั้นฝันเหมือนกันทำให้ชาวบ้านต่างก็เชื่อว่าเจ้าแม่ตะเคียนที่อยู่ในต้นตะเคียนเก่าแก่มานานหลายปีนั้นอยากจะขึ้นมาอยู่บนบกดังนั้นวันที่ 1 เมษายนทุกคนจะรวมตัวกันเพื่อพากันไปทำพิธีกราบไหว้และอัญเชิญเจ้าแม่ตะเคียนขึ้นมาอยู่บนฝั่งโดยเมื่อมีการขุดไปตรงบริเวณที่ตรงกับความฝันก็พบว่ามีต้นตะเคียนเก่าแก่อายุน่าจะหลายร้อยปีถูกฝังดินอยู่ข้างๆใกล้กับหนองน้ำของหมู่บ้าน

ดังนั้นจึงได้พากันจุดธูปอัญเชิญเจ้าแม่ตะเคียนขึ้นมาแล้วนำมาเก็บไว้ที่หมู่บ้านโดยมีการนำทั้งดอกไม้ธูปเทียนผ้าแพร 7 สีมาผูกที่ต้นตะเคียนรวมถึงใครที่ต้องการขอโชคขอลาภก็นำแป้งมาทาและกราบไหว้ขอพรส่วนบางคนก็นำธูปที่มีตัวเลขมาจดหาเลขซึ่งหลายคนก็ได้เลขที่ใกล้เคียงกันไม่ว่าจะเป็น   374 ,  34 เป็นต้น

ซึ่งชาวบ้านต่างก็มั่นใจว่าที่เจ้าแม่ตะเคียนขึ้นมาในช่วงนี้ก็เพราะต้องการที่จะให้โชคลาภแก่ชาวบ้านหมู่บ้านหนองตะเคียนเพราะเล็งเห็นถึงความยากลำบากของชาวบ้านที่กำลังได้รับอยู่ในขณะนี้หากผลกระทบของการระบาดไวรัสโควิด-19 ตรงหน้าจึงต้องการขึ้นมาให้โชคลาภแก่ชาวบ้านซึ่งชาวบ้านต่างก็ได้เลขเด็ดกันเป็นจำนวนมากและนำไป แทงหวยออนไลน์ หรือซื้อหวยที่จะออกในงวดหน้านี้หวยงวดต่อไปหวยจะออกในวันที่ 2 พฤษภาคมซึ่งก่อนหน้านั้นทางรัฐบาลได้มีการประกาศเลื่อนการออกรางวัลชาวบ้านที่ต้องการซื้อหวยจึงยังไม่สามารถที่จะซื้อได้

โดยชาวบ้านต่างก็เชื่อกันว่าเหตุการณ์ที่รัฐบาลเลื่อนการออกหวยในครั้งนี้ก็เพราะว่าเจ้าแม่ตะเคียนดลบันดาลดลจิตใจให้กับทางรัฐบาลทำการเลื่อนหวยออกไปก่อนสำหรับบริเวณสระน้ำแห่งนี้ชาวบ้านเล่าว่าที่แห่งนี้เป็นสระน้ำเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งแต่เดิมที่สนามแห่งนี้มีการเรียกชื่อกันว่าหนองตะเคียนเนื่องจากที่นี่จะมีต้นตะเคียนขึ้นเป็นจำนวนมากแต่ปัจจุบันก็ไม่ค่อยมีแล้ว